SOP และ POS เป็นสมการหรือฟังก์ชันลอจิก ซึ่งมีโครงสร้างคล้ายกับสมการคณิตศาสตร์อื่น ๆ คือประกอบด้วย
SOP - Sum of product ผลบวกของผลคูณ หรือเรียกว่า Minterm
- SOP เป็นรูปแบบสมการที่ในแต่ละเทอมจะอยู่ในรูป AND และนำแต่ละเทอมมา OR กัน ( AND ก่อน OR ทีหลัง)
- เทอมที่มีตัวแปรครบทุกตัวเรียกว่า Minterm
- สมการที่มีทุกเทอมเป็น Minterm เรียกสมการนั้นว่า Canonical sum หรือ Standard SOP
- ตัวอย่างสมการ SOP
- f(A,B,C) = ABC+A'+BC'
- f(A,B,C) = BC+A'B
- f(A,B,C) = A+BC'
- f(A,B,C) = ABC+A'BC+A'B'C'
- Standard SOP
- คือสมการแบบ SOP ที่ทุกๆเทอมของสมการจะต้องมีตัวแปรครบทุกตัวในฟังก์ชันนั้น หรือทุกเทอมเป็น Minterm
- จะประกอบด้วยจำนวน Minterm ≤ 2n เมื่อ n คือจำนวนตัวแปรทั้งหมดของสมการหรือฟังก์ชัน
- ตัวอย่างเช่น f(A,B,C) = A'B'C' + ABC' + ABC จะเห็นได้ว่าทุกเทอมของสมการมีตัวแปรครบทุกตัวตามฟังก์ชัน แต่ถ้ามีบางเทอมของสมการมีตัวแปรไม่ครบทุกตัว เราสามารถที่จะขยายสมการให้ครบได้โดยการคูณด้วย 1 (X+X') เข้าไป โดยที่ X คือตัวแปรที่ขาด ตัวอย่างเช่น
f(A,B,C) = A'B'C' + AB จะเห็นได้ว่าเทอม AB ขาดตัวแปร C
วิธีทำ f(A,B,C) = A'B'C' + AB(C+C')
= A'B'C' + ABC + ABC' จะได้สมการ Standard SOP
- การเขียนสมการ SOP จากตารางค่าความจริง(Truth Table)
A | B | C | f(A,B,C) |
0 | 0 | 0 | 1 |
0 | 0 | 1 | 1 |
0 | 1 | 0 | 0 |
0 | 1 | 1 | 1 |
1 | 0 | 0 | 0 |
1 | 0 | 1 | 1 |
1 | 1 | 0 | 1 |
1 | 1 | 1 | 0 |
- นำค่า output ในบรรทัดที่เป็น 1 ของฟังก์ชันในตารางค่าความจริงมาเขียนเป็น Standard SOP ซึ่ง 1 แทนตัวแปรที่อยู่ในรูปแบบปกติ เช่น A, B, C และ 0 แทนตัวแปรที่อยู่ในรูปแบบคอมพลีเมนต์ เช่น A', B', C' ได้ดังนี้
f(A,B,C) = A'B'C' + A'B'C + A'BC + AB'C + ABC'
เราสามารถเขียนสมการตัวเลขแทนสมการ SOP ได้โดยการกำหนดเครื่องหมาย ∑ เข้ากับกลุ่มตัวเลขประจำบรรทัดของตารางความจริงในช่องที่มี output เป็น 1 ตัวอย่างเช่น
A | B | C | f(A,B,C) |
0 | 0 | 0 | 1 |
0 | 0 | 1 | 0 |
0 | 1 | 0 | 0 |
0 | 1 | 1 | 1 |
1 | 0 | 0 | 1 |
1 | 0 | 1 | 0 |
1 | 1 | 0 | 1 |
1 | 1 | 1 | 1 |
f(A,B,C) = A'B'C' + A'BC + AB'C' + ABC' + ABC
= 000 + 011 + 100 + 110 + 111
= 0 3 4 6 7
f(A,B,C) = ∑(0,3,4,6,7)
POS - Product of sum ผลคูณของผลบวก หรือเรียกว่า Maxterm
- POS เป็นรูปแบบสมการที่ในแต่ละเทอมจะอยู่ในรูป OR และนำแต่ละเทอมมา AND กัน ( OR ก่อน AND ทีหลัง)
- เทอมที่มีตัวแปรครบทุกตัวเรียกว่า Maxterm
- สมการที่มีทุกเทอมเป็น Maxterm เรียกสมการนั้นว่า Canonical product หรือ Standard POS
- ตัวอย่างสมการ POS
- f(A,B,C) = (A+B+C)(A+B+C')(A+B)
- f(A,B,C) = (B+C)(A'+B)
- f(A,B,C) = (A+B)(A'+C')(B')
- f(A,B,C) = (A+B+C)(A'+B+C)(A'+B'+C')
- Standard POS
- คือสมการแบบ POS ที่ทุกๆเทอมของสมการจะต้องมีตัวแปรครบทุกตัวในฟังก์ชันนั้น หรือทุกเทอมเป็น Maxterm
- จะประกอบด้วยจำนวน Maxterm ≤ 2nเมื่อ n คือจำนวนตัวแปรทั้งหมดของสมการหรือฟังก์ชัน
- ตัวอย่างเช่น f(A,B,C) = (A'+B'+C')(A+B+C')(A+B+C) จะเห็นได้ว่าทุกเทอมของสมการมีตัวแปรครบทุกตัวตามฟังก์ชัน แต่ถ้ามีบางเทอมของสมการมีตัวแปรไม่ครบทุกตัว เราสามารถที่จะขยายสมการให้ครบได้โดยการบวกด้วย 0 (X•X') เข้าไป โดยที่ X คือตัวแปรที่ขาด ตัวอย่างเช่น
f(A,B,C) = (A'+B'+C')(A+B) จะเห็นได้ว่าเทอม AB ขาดตัวแปร C
วิธีทำ f(A,B,C) = (A'+B'+C')(A+B+(C•C'))
= (A'+B'+C')(A+B+C)(A+B+C') จะได้สมการ Standard POS
- การเขียนสมการ POS จากตารางค่าความจริง(Truth Table)
A | B | C | f(A,B,C) |
0 | 0 | 0 | 1 |
0 | 0 | 1 | 1 |
0 | 1 | 0 | 0 |
0 | 1 | 1 | 1 |
1 | 0 | 0 | 0 |
1 | 0 | 1 | 1 |
1 | 1 | 0 | 1 |
1 | 1 | 1 | 0 |
- นำค่า output ในบรรทัดที่เป็น 0 ของฟังก์ชันในตารางค่าความจริงมาเขียนเป็น Standard POS ซึ่ง 0 แทนตัวแปรที่อยู่ในรูปแบบปกติ เช่น A, B, C และ 1 แทนตัวแปรที่อยู่ในรูปแบบคอมพลีเมนต์ เช่น A', B', C' ได้ดังนี้
f(A,B,C) = (A+B'+C)(A'+B+C)(A'+B'+C')
เราสามารถเขียนสมการตัวเลขแทนสมการ POS ได้โดยการกำหนดเครื่องหมาย π เข้ากับกลุ่มตัวเลขประจำบรรทัดของตารางความจริงในช่องที่มี output เป็น 0 ตัวอย่างเช่น
A | B | C | f(A,B,C) |
0 | 0 | 0 | 0 |
0 | 0 | 1 | 0 |
0 | 1 | 0 | 1 |
0 | 1 | 1 | 0 |
1 | 0 | 0 | 0 |
1 | 0 | 1 | 1 |
1 | 1 | 0 | 1 |
1 | 1 | 1 | 0 |
f(A,B,C) = (A'+B'+C')(A'+B+C)(A+B'+C')(A+B+C')(A+B+C)
= 111 100 011 001 000
= 7 4 3 1 0
f(A,B,C) = π(0,1,3,4,7)
Convert SOP to POS
- ทำสมการ SOP ให้เป็น Standard SOP
- หาจำนวนเทอมสูงสุดของสมการ = 2nเมื่อ n คือจำนวนตัวแปรทั้งหมดของสมการหรือฟังก์ชัน หาจำนวน Maxterm ของสมการ POS ซึ่งเท่ากับ 2n - จำนวน Minterm
- แปลงรูประหว่าง Minterm ไปเป็น Maxterm โดยใช้สูตร
f(ตัวแปร n ตัว) = ∑(ตัวเลขประจำบรรทัดของสมการ SOP 2n ตัว)
= π(ตัวเลขประจำบรรทัดของสมการ SOP 2n ตัว)'
f(A,B,C) = A'B'C + A'BC + ABC
= 001 011 111
= 1 3 7
= ∑(1,3,7)
= π(1,3,7)'
= π(0,2,4,5,6 )
= 000 010 100 101 110
= (A+B+C)(A+B'+C)(A'+B+C)(A'+B+C')(A'+B'+C)
Convert POS to SOP
- ทำสมการ POS ให้เป็น Standard POS
- หาจำนวนเทอมสูงสุดของสมการ = 2nเมื่อ n คือจำนวนตัวแปรทั้งหมดของสมการหรือฟังก์ชัน หาจำนวน Minterm ของสมการ SOP ซึ่งเท่ากับ 2n - จำนวน Maxterm
- แปลงรูประหว่าง Maxterm ไปเป็น Minterm โดยใช้สูตร
f(ตัวแปร n ตัว) = π(ตัวเลขประจำบรรทัดของสมการ POS 2n ตัว)
= ∑(ตัวเลขประจำบรรทัดของสมการ POS 2n ตัว)'
f(A,B,C) = (A+B+C)(A+B'+C)(A'+B+C)(A'+B+C')(A'+B'+C)
= 000 010 100 101 110
= 0 2 4 5 6
= π(0,2,4,5,6)
= ∑(0,2,4,5,6)'
= ∑(1,3,7)
= 001 011 111
= A'B'C + A'BC + ABC
BY http://th.wikipedia.org/wiki/POS_และ_SOP
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น